วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไปอยู่ที่อื่นเลยน้อง

ในพระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า เมื่อใครก็ตามเลือกที่ยอมให้พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าในชีวิตแล้ว เขาผู้นั้นก็เปรียบดังเป็นพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าองค์สูงสุด

พระคัมภีร์ตอนหนึ่งบันทึกไว้ว่า เมื่อประมาณสองพันปีก่อน พระเยซูทรงเสด็จเข้าไปในพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ประเทศอิสราเอล พระองค์ทรงพบว่า แทนที่จะเป็นสถานที่ที่ใช้เพื่อการนมัสการพระเจ้า และการอธิษฐาน กลับกลายเป็นที่วางขายของ ของบรรดาพ่อค้า ที่เข้ามาขายสัตว์ต่างๆ เพื่อใช้ในการเผาบูชา และจุดประสงค์ของพวกเขาคือการค้ากำไร พระเยซูไม่ทรงพอพระทัยและได้ทรงขับไล่พวกเขาให้ออกไปให้พ้นบริเวณพระวิหาร

เกิดอะไรขึ้นกับพระเยซู ไม่มีอะไรผิดปกติกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และพระองค์ทรงทราบในพระทัยว่าพระวิหารนั้นมีไว้สำหรับอะไร พระองค์จึงประสงค์ให้พระวิหารเป็นที่บริสุทธิ์และใช้เพื่อนมัสการพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่

ในชีวิตของคริสเตียนทุกคนที่กำลังดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่าเป็นดังพระวิหารของพระเป็นเจ้า ฉะนั้นพระเยซูจึงทรงทำพระราชกิจในชีวิตและจิตใจของคริสตชน ให้บริสุทธิ์ และเป็นชีวิตแห่งการนมัสการ

หากรู้สึกว่าความผิด ความบาป และนิสัยที่ไม่ดี ต่างๆ เป็นเรื่องที่เรากำลังต่อสู้ในชีวิต นั่นก็เพราะพระเยซูกำลังชำระชีวิตของเราอยู่ภายใน พระองค์กำลังช่วยขับไล่ สิ่งที่ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ออกจากชีวิตของเรา ออกจากจิตใจของเรา

ยอมให้พระองค์ชำระสิ่งเหล่านั้นออกจากชีวิตของเรา เพื่อภายในของเราจะมีแต่การสรรเสริญ นมัสการ และการอธิษฐาน เป็นดังพระวิหารอันบริสุทธิ์ของพระองค์

พระวิหาร ซานตามารีอา

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มีคนอยู่สองแบบ ตอนที่ 2

จากที่ท่านลูกาบันทึกเรื่องราวไว้อย่างรวบรัดและได้ใจความแสดงให้เราเห็นว่า คนทั้งสองจำพวกมีการตอบสนองที่แตกต่างกันต่อพระเยซู


มีการใช้คำภาษากรีกที่มีลักษณะของการกระทำที่รุดหน้าคือ "มาร่วมกัน" ในบทที่ 15 ข้อ 1 ซึ่งนำให้เราคิดไปได้ว่ากลุ่มคนจำพวกที่เหมือนกับ บุตรน้อยคนเล็ก นั้นกำลังเป็นกลุ่มหลักในการทำพันธกิจของพระเยซู พวกเขามักจะยกโขยงกันมาหาพระองค์ เรื่องนี้พาให้เกิดความฉงนสนเท่และความโกรธาต่อพวกนักการศาสนาทั้งหลายในเวลานั้น ท่านลูกาได้บันทึกสรุปไว้เช่นนี้ว่า "คนนี้ต้อนรับคนบาป และยังดื่มกินกับพวกเขา" ความหมายของการ นั่งและกินด้วยกับคนหนึ่งคนใด ในวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกใกล้ในยุคโบราณนั้น คือการแสดงการยอมรับต่อผู้นั้น "พระเยซูกล้าไปยุ่งกับพวกนอกรีตอย่างนั้นได้อย่างไร" พวกเขากล่าว "เจ้าพวกนั้นไม่เคยมาร่วมการนมัสการของเราเลยสักครั้ง แล้วจะไปสนใจต่อคำสอนของพระเยซูอย่างไรได้" พระเยซูมิได้สำแดงต่อพวกเขาอย่างชัดแจ้งถึงสัจจะทั้งปวงอย่างที่ทรงสำแดงต่อเราในทุกวันนี้ กระนั้นพระองค์ก็ยังตรัสกับพวกเขา ถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการจะฟัง

ถ้างั้นแล้ว คำสอนของพระเยซูในคำอุปมานี้ น่าจะกำลังใช้สอนคนพวกไหนกันแน่ ก็ต่อพวกที่สอง คือพวกอาลักษ์และพวกฟาริสี เป็นการสนองต่อท่าทีของพวกเขาที่ทำให้พระเยซูทรงตรัสคำอุปมานี้ขึ้น  คำอุปมาเรื่องบุตรสองคน ซึ่งมีการพิเคราะห์หลักเพิ่มเติมที่จิตใจของบุตรคนโต และที่ไคลแม๊กซ์ของเรื่องคือ การแก้ตัวอย่างแข็งขันของเขาและการกลับใจ

ยังมีต่อ

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

มีคนอยู่สองแบบ ตอนที่ 1

ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่อ่านคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย มักจะมุ่งความสนใจไปที่การเดินทางไป และการหวนคืนของน้องคนเล็กมากกว่า คนที่มักถูกเรียกว่า "บุตรน้อยผู้หลงหาย" อันเป็นการที่พลาดจากเนื้อหาที่แท้จริงของเรื่องนี้

เพราะตามเรื่องแล้ว พี่น้องทั้งสองคนนั้น เป็นดังตัวอย่างเปรียบเทียบของวิธีการสองแบบในการเป็นคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า และเป็นสองวิธีที่แตกต่างกันในการแสวงหาทางสู่สวรรค์

เมื่อ่านที่ข้อพระคัมภีร์ในตอนนี้ท่านลูกาบันทึกไว้ในสองข้อแรก(ลูกา 15:1-2) ระบุว่า มีกลุ่มคนสองจำพวกด้วยกันที่มาฟังพระเยซู พวกแรกคือพวกคนที่มีอาชีพเก็บภาษีกับคนบาป จะว่าไปคนกลุ่มแรกนี้มีลักษณะเดียวกับบุตรคนเล็กตามท้องเรื่อง คือพวกเขาไม่แยแสกับกฎปฏิบัติต่างๆ ตามคัมภีร์ไบเบิ้ล และไม่สนด้วยว่าธรรมเนียมของศาสนายิวจะว่าอย่างไร เรียกได้ว่า อยู่ไปอย่างเถื่อนๆ เช่นเดียวกับบุตรคนเล็ก เขาต้องระเห็จไปจากบ้าน โดยทิ้งเรื่องของธรรมเนียมอันดีงามและควรปฏิบัติต่อครอบครัวและสังคมไว้เบื้องหลัง ส่วนคนที่มาฟังพระเยซูอีกพวกก็คือ ฟาริสีและบรรดาคนที่สอนธรรมบัญญัติ ซึ่งเปรียบดังตัวแทนของบุตรคนโตตามท้องเรื่อง พวกเขาเป็นพวกถือรักษาจารีตธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ อย่างเคร่งครัด ซึ่งหลายอย่างก็ล้วนตั้งกันขึ้นมาเองทั้งนั้น พวกเขาศึกษาและกระทำตามพระคัมภีร์ นมัสการตามเวลาอย่างซื่อสัตย์ และอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ


(พิมพ์เมื่อยแล้ว ไว้อ่านต่อตอนต่อไปนะ)

ไม่ต้องฝืนธรรมชาติ

มื่อต้นไม้ต้นหนึ่งถูกปลูกลงในดินแล้ว ก็พยายามหยั่งรากออกไปเพื่อใช้พยุงตัวต้นให้ตั้งอยู่มั่นคงไม่ล้มลง และใช้รากเพื่อดูดซับอาหารจากพื้นดิน เพื่อใช้เลี้ยงทั้งต้นให้เติบโต

พอเริ่มโตขึ้นมา ก็ถึงเวลาของการขยายกิ่งก้านสาขาออกไป เพื่อให้เกิดกิ่งใบเพิ่มขึ้น ในการใช้ใบเพื่อสังเคราะห์แสงอาทิตย์ อันเป็นการช่วยให้สารอาหารต่างๆ ถูกนำมาใช้แก่การเจริญเติบโตอีกทางหนึ่งด้วย

โดยส่วนใหญ่ต้นไม้หากไม่มีแมลง หรือโรคพืชต่างๆ เข้ามา ก็จะเจริญเติบโต เริ่มออกดอกและผลเป็นอันดับต่อมา

ชีวิตคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน เมื่อมารู้จักพระเจ้าแล้ว ก็จะเริ่มหยั่งรากทางความเชื่อ เพื่อให้มีอาหารทางฝ่ายจิตวิญญาณ นั่นคือการ อ่านพระคัมภีร์ และการอธิษฐาน เพื่อให้ความเชื่อของเรามั่นคง และไม่ล้มลง

เมื่อเริ่มเติบโตทางความเชื่อก็ได้เวลาขยายกิ่งก้านสาขา คือ การร่วมรับใช้เสริมสร้างคริสตจักร ซึ่งเปรียบดังกิ่งไม้ที่สามารถแตกแขนงออกไปได้หลายทาง เช่นเดียวกับการรับใช้ สามารถทำได้หลายวิธี ตามที่เราถนัดและสามารถช่วยได้ เช่น การถวาย การร่วมปรนนิบัติด้านต่างๆ เช่น จัดดอกไม้ ร่วมทำกับข้าว ช่วยทำความสะอาด การเป็นพยานกับคนรู้จัก ช่วยนำกลุ่มเซลล์ ช่วยนำนมัสการ ช่วยสอนชั้นเรียนเด็ก ช่วยหนุนใจพี่น้องที่มีปัญหา 



ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นในชีวิตเรา บางครั้งจะมีอุปสรรค หรือความขี้เกียจเข้ามา แต่ขอให้ฟังและทำตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา เพื่อพระองค์จะทรงนำให้เราเติบโตขึ้น ในความรัก ในความเชื่อ จนถึงความไพบูลย์ของพระเยซูเจ้า